บทความที่ได้รับความนิยม

6.22.2015

like a New Yorker < week 5 >




         

          บล็อกเกอร์ภูมิใจนำเสนอสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวของนิวยอร์ก หรือที่รู้จักกันในนาม นิวยอร์กซิตี้ (New York City - NYC) ซึ่งประกอบด้วย 5 เขตการปกครอง ได้แก่ แมนฮัตตัน (Manhattan), ควีนส์ (Queens), บรู๊คลิน (Brooklyn), เดอะ บร็องซ์ (The Bronx) และ สแตเทน ไอส์แลนด์ (Staten Island)




ก่อนอื่นเราไปดูข้อมูลเบื้องต้นกันก่อนนะคะ


ฤดูท่องเที่ยวในนิวยอร์ก

คุณสามารถไปท่องเที่ยวนิวยอร์กได้ตลอดทั้งปี โดยในแต่ละฤดูการท่องเที่ยวจะมีสีสันและเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
ฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน เป็นช่วงอากาศกำลังสบาย แต่อาจจะเจอฝนตกได้บ้าง เหมาะแก่การเดินเที่ยวชมเมืองและทิวทัศน์ธรรมชาติ คุณไม่ควรพลาดงานเทศกาลดอกซากุระบานที่สวนพฤกษศาตร์บรู้คลิน ซึ่งจัดระหว่างช่วงปลายมีนาคมถึงเมษายน
ฤดูร้อน ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม เป็นช่วงทีมีความคึกคักมากเพราะเป็นช่วงปิดเทอม มีกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ มากมาย อาทิ ปิคนิค คอนเสิร์ต รวมไปถึงเทศกาลภาพยนตร์ ถ้าคุณเดินทางไปช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม คุณจะได้ร่วมฉลองวันชาติอเมริกา และร่วมชมการแสดงการจุดพลุที่สวยงามอลังการในงาน Macy's Fourth of July Fireworks
ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน อากาศเริ่มเย็นในช่วงค่ำแต่ไม่หนาวมาก คุณจะได้พบกับทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงาม รวมไปถึงเทศกาลฮาโลวีนช่วงปลายตุลาคม หรือเทศกาลพาเหรดวันขอบคุณพระเจ้าในงาน Macy's Thanksgiving Day Parade ช่วงปลายพฤศจิกายน
ฤดูหนาว ช่วงธันวาคมถึงมีนาคม ซึ่งนอกจากคุณจะได้สัมผัสกับหิมะแล้ว คุณไม่ควรพลาดเทศกาลคริสต์มาสแสนประทับใจ และเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่จตุรัสไทม์สแควร์ (Times Square New Year Eve Countdown)

การเดินทางไปนิวยอร์ก

          คุณสามารถเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินไปนิวยอร์กได้หลากหลายเส้นทาง โดยส่วนมากสายการบินที่เดินทางจากประเทศไทยมักจะแวะเปลี่ยนเครื่องอย่างน้อยที่เมืองใดเมืองหนึ่งก่อนบินเข้าสู่นิวยอร์ก เช่น กรุงโซล โตเกียว ไทเป ปักกิ่ง ซึ่งหากมีเวลารอเปลี่ยนเครื่องที่นานพอ คุณอาจแวะเที่ยวในเมืองนั้นๆ ก่อนได้
หมายเหตุ นิวยอร์กมีสนามบินสองแห่ง แต่สำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศมักลงจอดที่สนามบินจอห์นเอฟเคนเนดี (John F. Kennedy International Airport) หรือที่มีชื่อย่อว่า JFK

การเดินทางในนิวยอร์ก

รถไฟใต้ดิน ซึ่งค่อนข้างครอบคลุมทั่วทั้งเมืองและสะดวกรวดเร็ว ส่วนค่าโดยสารถือได้ว่าค่อนข้างประหยัดและคุ้มค่าหากคุณซื้อบัตรโดยสารเหมาจ่ายแบบไม่จำกัดเที่ยว ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่แบบ1 วัน ไปจนถึง 1 เดือน
รถโดยสารประจำทาง ซึ่งเกือบทุกเส้นทางภายในเมืองนิวยอร์กสามารถใช้บัตรโดยสารร่วมกับบัตรรถไฟใต้ดินได้ แต่มีข้อเสียคือมักต้องรอรถนานและเจอสภาพรถติดบนท้องถนน
รถแท็กซี่ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเพราะการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน และมีค่าโดยสารที่ค่อนข้างแพง รวมถึงคุณยังต้องให้ทิปสำหรับคนขับรถแท็กซี่ตามธรรมเนียมอีกด้วย
รถเช่า สามารถเช่ารถขับในนิวยอร์กได้ไม่ยาก เช่น เช่ารถขับจากสนามบิน

โรงแรมที่พักในนิวยอร์ก
มหานครนี้มีที่พักให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ราคาประหยัดอย่างโฮสเทล อพาร์เมนท์ โรงแรม 1 ดาว ไปจนถึงโรงแรมหรู 5 ดาว ชอบแบบไหน งบขนาดไหน เลือกได้ตามใจชอบเลย

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในนิวยอร์ก

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)
          เป็นของขวัญจากชาวฝรั่งเศสที่มอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่ 4 กรกฎาคมพ.ศ. 2419 ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปีของอเมริกา มีความสง่างามและเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองนิวยอร์ก หากคุณต้องการไปชมให้ใกล้ชิดถึงบนเกาะลิเบอร์ตี้ (Liberty Island) คุณควรจองตั๋วเรือล่วงหน้าหลายวัน 

สถานีรถไฟแกรนด์ เซ็นทรัล (Grand Central Terminal)

สถานีรถไฟแกรนด์ เซ็นทรัล (Grand Central Terminal)
          ศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของนิวยอร์ก ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อเครือข่ายเส้นทางรถไฟใต้ดิน กับชุมทางรถไฟบนภาคพื้นดินไปยังต่างเมือง ตัวอาคารสถานีมีความเก่าแก่และสวยงามอลังการ เปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 

จตุรัสไทม์สแควร์ (Times Square)

จตุรัสไทม์สแควร์ (Times Square)
          ศูนย์รวมร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบันเทิง รวมถึงแสงสียามค่ำคืนใจกลางแมนแฮตตัน เป็นย่านที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนกว่า 39 ล้านคนต่อปี มีชื่อเสียงมากในการจัดงานเฉลิมฉลองนับถอยหลังวันขึ้นปีใหม่ที่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วโลก

อนุสรณ์สถานกราวน์ ซีโร่ (Ground Zero)

อนุสรณ์สถานกราวน์ ซีโร่ (Ground Zero)
          แต่เดิมเป็นที่ตั้งของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) ซึ่งเกิดเหตุวินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ต่อมาได้สร้างเป็นอนุสรณ์สถานขึ้นบนบริเวณฐานอาคารที่พังลงมา รวมถึงสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State Building)

ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State Building)
          เป็นอาคารหลังแรกของโลกที่มีความสูงกว่า 100 ชั้นสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2474 เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวเมืองนิวยอร์กจากชั้นบนได้ด้วย และที่สำคัญ ตึกแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงสองเรื่องคือ คิงคอง (King Kong) และ เพอร์ซี แจ็คสัน (Percy Jackson) 

เซ็นทรัล ปาร์ค (Central Park)

เซ็นทรัล ปาร์ค (Central Park)
          สวนสวยขนาดใหญ่ใจกลางเกาะแมนแฮตตัน ที่ได้รับการออกแบบภูมิทัศน์เป็นอย่างดี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2400 มี ละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายเรื่องมาถ่ายทำที่นี่ รวมถึงภาพยนตร์ไทยเรื่อง "กุมภาพันธ์" ที่ฉายในปี พ.ศ. 2546 

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน (American Museum of National History)

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน (American Museum of National History)
          ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2412 สำหรับจัดแสดงวัตถุโบราณและธรรมชาติวิทยาที่มีความหลากหลาย ไฮไลท์ของที่นี่คือการชมโครงกระดูกไดโนเสาร์และฟอสซิลต่างๆ  สถานที่นี้ยังเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Night at the Museum อีกด้วย 

โบสถ์เซนต์จอห์น เดอะดีไวน์ (The Cathedral Church of St. John the Divine)

โบสถ์เซนต์จอห์น เดอะดีไวน์ (The Cathedral Church of St. John the Divine)
          โบสถ์อายุเก่าแก่กว่าร้อยยี่สิบปีที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และติดอันดับหนึ่งในห้าโบสถ์คริสต์ที่มีความใหญ่โตอลังการของโลก ภายในยังมีหน้าต่างประดับกระจกสีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาที่สร้างขึ้นจากกระจกสีกว่าหมื่นชิ้นอีกด้วย 

สะพานบรู้คลิน (Brooklyn Bridge)

สะพานบรู้คลิน (Brooklyn Bridge)
          เป็นสะพานแขวนสุดโรแมนติกที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2426 มีความยาว 1,825 เมตร ทอดตัวยาวข้ามแม่น้ำอีสต์ (East River)เชื่อมต่อระหว่างเกาะแมนแฮตตันกับเขตบรู้คลิน 

ฟิฟท์ อเวนิว (Fifth Avenue)

ฟิฟท์ อเวนิว (Fifth Avenue)
          ถนนช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องประดับ นาฬิกา เครื่องสำอาง และน้ำหอม จากหลากหลายแบรนด์ดังสุดหรู รวมถึงห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์เซ็นต์แพทริค (St. Patrick's Cathedral) ที่สวยงามตั้งอยู่ใจกลางย่านช้อปปิ้งอีกด้วย 



อ้างอิง : http://www.skyscanner.co.th/news/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B



6.21.2015

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java) < week 4 >



          ภาษาใหม่ที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน คงจะไม่มีภาษาไหนที่เทียบได้รับภาษา Java ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเตมส์ ในปี 1991 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ง่ายต่อ การใช้ง่าย มีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีข้อผิดพลาด และสามารถใช้กับเครื่องใดๆ ก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นข้อดีของจาวาที่เหนื่อกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นด้วย Java สามารถนำไปใช้กับเครื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทำให้ไม่จำกัดอยู่กับเครื่องหรือโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้ว่าการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจำกัดอยู่กับ World Wide Web (WWW) และ Internet แต่ในปัจจุบันได้มีการนำ Java ไปประยุกต์ใช้กับงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utility) ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริษัท Corel ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ง สเปรดซีต พรีเซนเตชัน ที่เขียนขึ้นด้วย Java ทั้งหมด

ตัวอย่าง ภาษาคอมพิวเตอร์


Java คืออะไร       

         Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และ  วิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ 
     
          ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior) 


          Java ยังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งยังได้รับความนิยมนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว Java ยังเป็นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทำงานเป็นเครือข่ายว่า แอพเพลต (applet) ที่ต้องการใช้งานขณะนั้นมาจากเครื่องแม่ ทำให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครือข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึง มาทั้งโปรแกรมเป็นอย่างมาก




James Gosling

     ผู้คิดต้นแบบ คือ James Gosling และคณะ   จากบริษัท Sun Microsystems


     วัตถุประสงค์เดิม คือ ของ Java คือใช้สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อฝังตัวในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

      ผล คือ ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม (Application Programming) ซึ่งเป็นลักษณะของโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) ซึ่งสามารถใช้งานบนเว็บได้ด้วย




การพัฒนาการในช่วงเวลาต่างๆ

~ ปี 1991 ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เล็กทรอนิคขนาดเล็ก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ ภาษาโอ๊ค (Oak)

~ ปี 1993 ภาษาโอ๊คได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น (web application) พร้อมกับสร้างเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ที่รองรับ ชื่อว่าเว็บรันเนอร์ (WebRunner)

~ ปี 1995
           - บริษัทซันได้เปิดตัวภาษาจาวา (Java) (ภาษาโอ๊คเดิม) พร้อมกับเว็บเบราว์เซอร์ ที่รองรับภาษานี้ ชื่อว่า ฮอตจาวา (HotJava) (WebRunner เดิม)
           - ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ทั้งเน็ตสเคบ (Netscape), ไมโครซอฟต์ (Microsoft), และ ไอบีเอ็ม (IBM)
           - บริษัทซันได้เริ่มแจกจ่าย Java development Kit (JDK) ซึ่งเป็นชุดพัฒนาโปรแกรมภาษา Java ในอินเตอร์เน็ต



จุดมุ่งหมาย

จุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการ ในการพัฒนา Java คือ
   -> ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
   -> ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
   -> เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
   -> เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย Java แพลตฟอร์ม และ ภาษา Java  

          เนื่องจากชื่อที่เหมือนกัน และการเรียกขานที่มักจะพูดถึงพร้อมกันบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไป มักสับสนว่า ภาษา Java และ Java แพลตฟอร์ม เป็นสิ่งเดียวกัน ในความเป็นจริงนั้น ทั้งสองสิ่ง แม้จะทำงานเสริมกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน โดยภาษา Java นั้น คือภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น ส่วน Java แพลตฟอร์มนั้น คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรม Java โดยมีองค์ประกอบหลักคือ Java เวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐาน Java (Java standard library) โปรแกรมที่ทำงานบนจาวาแพลตฟอร์มนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยภาษา Java เช่น อาจจะใช้ ภาษาไพทอน (Python) หรือ ภาษาอื่นๆ ก็ได้ ส่วนภาษาจาวานั้น ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาโปรแกรมสำหรับแพลตฟอร์มอื่นได้เช่นเดียวกัน เช่น คอมไพเลอร์ gcj สามารถคอมไพล์โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา Java ให้ทำงานได้ โดยไม่ต้องใช้ Java เวอร์ชวลแมชีน





อ้างอิง : http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2185-java-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
http://natee0.blogspot.com/
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B2&safe=active&biw=1366&bih=653&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ei=0JCGVdChEoifugSlr47AAw&sqi=2&ved=0CAYQ_AUoAQ#safe=active&tbm=isch&q=flower+line&imgrc=PdicUOsizpmFMM%253A%3BDArLWoa5sb_xVM%3Bhttp%253A%252F%252Fi285.photobucket.com%252Falbums%252Fll41%252Flinely001%252Fanimal-line-012.gif%3Bhttp%253A%252F%252Fwriter.dek-d.com%252Ftamakornaom%252Fstory%252Fviewlongc.php%253Fid%253D865251%2526chapter%253D360%3B359%3B37


6.16.2015

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย < week 3 >


" เช้าเช็คเฟซ สายตอบไลน์ บ่ายรีทวิต เย็นอัพไอจี "

          จากคำกล่าวข้างต้นอาจะถือว่าเป็นกิจวัตรของใครหลายคนก็ว่าได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พบได้เกือบทุกคนในสังคมปัจจุบันอันเนื่องมากจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความทันสมัยและเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ หลายสิ่งหลายอย่างมีการถ่ายทอดผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียทั้งสิ้น จนกลายเป็นกลุ่มสังคมหรือเครือข่ายหนึ่งที่จับต้องไม่ได้นั่นเอง เป็นสังคมใหม่ที่ติดต่อสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น และเป็นที่มาของคำว่า "สังคมก้มหน้า" 

ตัวอย่างผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค


          อันที่จริงแล้วคำว่า โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค การเชื่อมโยงดังกล่าวทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้ เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นสังคมเสมือนจริงขึ้นมา สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย และเมื่อเราแชร์ข้อความหรืออะไรลงไปก็ตามในเครือข่าย ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน และสามารถตอบสนองสิ่งที่เราแชร์ได้ เช่น แสดงความคิดเห็น หรือ กดไลค์ ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้ธุรกิจและนักการตลาด สนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการได้


ตัวอย่างโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ยอดนิยมในหมู่นักเรียน

ตัวอย่างแอพพลิเคชันในโซเชียลเน็ตเวิร์ค

อันดับ 1  Facebook : คงหนีไม่พ้นแอพนี้แน่นอน เพราะได้รับความนิยมมายาวนานหลายปี และยังคงครองแชมป์ต่อไป


Facebook

อันดับ 2 Google+ : แอพจากค่ายกูเกิลนี่เอง

Google+

อันดับ 3 LINE : แอพแชทสุดฮิตกับไอคอนที่เราคุ้นเคย


LINE


อันดับ 4 Twitter : นกน้อยสีฟ้า พร้อมกับเสียงแจ้งเตือนที่น่ารัก

Twitter
อันดับ 5 Skype : แอพคอลกันแบบหน้าสดเลยจ้า



Skype

อันดับ 6 Instagram : แอพเดียวที่สร้างมาเพื่อการถ่ายภาพโดยเฉพาะ


Instagram
อันดับ 7 Whatsapp : อีกหนึ่งแอพแชทที่แสนคลาสสิก

Whatsapp

อันดับ 8 Facebook Messenger : แอพแชทในเครือเฟซบุ๊คนี่เอง

Facebook Messenger

อันดับ 9 Youtube : แหล่งรวบรวมวีดิโอชั้นดีที่นี่ที่เดียว


Youtube

อันดับ 10 Google Map : แอพตัวเก่งที่ช่วยนำทางสู่จุดหมาย


Google Map

          และนี่ก็คือโฉมหน้าแอพยอดฮิตติดท็อปชาร์ต 10 อันดับ ที่เราคัดสรรมาเพื่อเพื่อนๆ นะคะ รับรองว่าเป็นแอพที่เพื่อนๆ ต้องเคยเห็นและใช้งานบ่อยอย่างแน่นอนเลยค่ะ 

           นอกจากนี้เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่าในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็น Social Network เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน้ตเวิร์ค ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์คมากขึ้น


          รู้อย่างนี้แล้วก็คงพอเข้าใจในความเป็นไปของสังคมยุคนี้แล้วใช่ไหมคะ แต่ก็อย่าลืมว่าสิ่งใดที่ให้คุณก็ย่อมให้โทษด้วย  เช่นกัน ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนๆ ก็อย่าลืมพักสายตาจากการท่องโลกโซเชียลด้วยนะคะ เพราะขณะที่เราจ้องหน้าจออาจทำให้ดวงตาล้าและแห้งได้ จึงควรหลับตา พักสายตาอย่างน้อย 5 นาทีนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากบล็อกเกอร์เช่นเคยค่ะ :)




อ้างอิง : http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/
              http://visual.ly/social-media-explained-cute-cats
              http://www.theworldofchinese.com/2013/08/wechat-now-the-5th-most-used-app/





6.09.2015

Because it is Tea Time! < week 2 >


    

     เพื่อนๆ คงเคยได้ยินคำว่า " Tea Time " ใช่ไหมคะ แล้วเคยสงสัยไหมคะว่าเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำอย่างไรบ้าง และมีขึ้นมาเพราะอะไร ต้องบอกก่อนเลยว่าบล็อกเกอร์ชอบเรื่องแบบนี้ที่สุดเลยค่ะ เลยอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน จะหรูเริ่ดอลังการแค่ไหนไปหาคำตอบกันได้เลยค่ะ 






     ก่อนอื่นขอเรียกน้ำย่อยกันสักนิดนะคะ 
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                             




        ถึงเวลามารู้จัก การจิบชา แบบผู้ดีอังกฤษ กันแล้วค่ะ!
มารู้จักการจิบน้ำชายามบ่ายแบบผู้ดีอังกฤษกัน


anna 7th duchess of bedford
            
           ช่วงเวลาของการดื่มชาที่เกิดขึ้นในอังกฤษประมาณยุค 1840 เนื่องจากในสมัยก่อนเวลาอาหารของคนอังกฤษมี 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อค่ำ ซึ่งเสิร์ฟตอน 2-3 ทุ่ม ดัสเชสแอนนา ดัสเชสลำดับที่ 7 แห่งเบดฟอร์ด (Duchess of Bedford) จึงสั่งให้มีการตั้งโต๊ะชา ขนมปัง และเค้กเพื่อเสิร์ฟระหว่างวันเพื่อดับความหิว และดัสเชสก็เริ่มเชิญเพื่อนๆ มาดื่มชาและทานขนมกับเธอจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆ มา โดยชาของอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Afternoon Tea และ High Tea 

Afternoon Tea vs. High Tea

          Afternoon Tea หรือ Low Tea คือช่วงเวลาดื่มชายามบ่าย มักเริ่มทานตั้งแต่ 4 - 6 โมงเย็น เป็นมื้อของว่างระหว่างมื้อเช้าและมื้อค่ำของชาวอังกฤษที่มักทานกันตอนดึก จัดวางบนโต๊ะทรงเตี้ย ถือเป็นเป็นกิจกรรมของหญิงชนชั้นสูง และมีการจัดวางอาหารว่าง ขนมหวานทานคู่กับชาอีกด้วย
         ส่วน High Tea คือ ชาที่เสิร์ฟในมื้อเย็นของชนชั้นแรงงาน ทานตอน 5โมงเย็น - 1 ทุ่ม ซึ่งจะถูกจัดวางบนโต๊ะอาหารทรงสูง จึงเป็นที่มาของคำว่า High ใน High Tea นั่นเอง

 
ขนมหวานและของว่างของ Afternoon Tea 

 
             Afternoon Tea ขนมที่เสิร์ฟที่ชั้นบนสุดคือ สโคน (Scone) มักทานคู่กับคลอทท์ครีม (Clotted Cream) แยม ให้ทานเป็นอันดับแรก ตามด้วยแซนด์วิช (Finger Sandwich) แซนด์วิชเล็กพอดีคำ และขนมหวานอื่นๆ เช่น เค้กชนิดต่างๆ จะอยู่ชั้นล่างสุด โดยจะเริ่มทานจากด้านบนลงล่าง และเมื่อทานแต่ละชั้นหมด ก็จะต้องถอดชั้นรองของชั้นนั้นออกทุกครั้ง 

ขนมหวานและของว่างของ High Tea 

          High Tea ดื่มชาพร้อมกับอาหารมื้อหลัก เสิร์ฟพร้อมกับขนมปัง เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผัก ผลไม้ และของหวานชนิดต่างๆ เช่น เค้กฟองน้ำ (Sponge cakes), ทาร์ต (Tart), ช็อกโกแลต, แซนด์วิชและขนมอื่นๆ 


ประเภทของ Afternoon Tea มีอะไรบ้าง?
                           
                              Light Tea : ทานชากับสโคน (ไม่ทานครีม) + ขนมชิ้นเล็กๆเช่น ลูกกวาดหรือคุกกี้
                              Cream Tea : ทานชากับสโคน + แยม + ครีม
                              Full Tea : ทานชา + สโคน + แซนวิช + ขนมหลากชนิด 
                                               
                                                   

         












  High Tea หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Meat Tea หรือปัจจุบันเรียกว่า       Time Tea ปกติจะหมายถึงชาที่เสิร์ฟพร้อมกับอาหารมื้อค่า เป็นอย่างไรกันบ้าง 

   

         เต็มอิ่มกับเรื่องชาๆ กันไปแล้ว คาดว่าเพื่อนๆ คงหิวไปตามๆ กันเลยใช่ไหมคะ บล็อกเกอร์ก็อยากแนะนำว่าถ้ามีโอกาสก็ลองหาร้านสำหรับจิบชายามบ่ายสไตล์อังกฤษดูนะคะ แต่ควรทานพอประมาณ และอย่าลืมออกกำลังกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากบล็อกเกอร์ แล้วเจอกันใหม่บล็อกหน้านะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

   

   


อ้างอิง : https://www.wongnai.com/food-tips/afternoon-tea-high-tea
              http://kasetmodern.com/2015/01/26/afternoon-tea/
              http://cooking.kapook.com/view76537.html



6.03.2015

เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน < week 1 >

" ตื่นมาจับโทรศัพท์เป็นสิ่งแรก ก่อนนอนจับโทรศัพท์เป็นสิ่งสุดท้าย " 

          นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีในชีวิตประจำของเราที่ต้องพบเจอจนเป็นเรื่องปกติ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างถูกแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาไม่ว่าจะเป็นการซื้อเวลาทางอ้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ เชื่อได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับเวลาที่คุ้มค่าและความสะดวกสบาย นับได้ว่าทุกบ้านย่อมมีอุปกรณ์เหล่านี้แน่นอนไม่มากก็น้อย

          

          ในทุกวันนี้หนึ่งในการพักผ่อนหย่อนใจของเราคงหนีไม่พ้นการท่องโลกโซเชียลบนสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นอย่าง Facebook, LINE, Twitter หรือ Instagram ซึ่งเป็นที่นิยมเหล่านี้ล้วนต้องมีการอัพเดตอยู่ตลอดเวลา จนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ บางคนเมื่อไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตถึงกับรู้สึกเหมือนตนเองติดเกาะกันเลยทีเดียว นี่แหละที่เป็นตัวแสดงถึงความสำคัญของเทคโนโลยีชิ้นนี้ที่มีต่อหลายๆคน แต่เหนือสิ่งอื่นใดสมาร์ทโฟนก็ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นด้วยเช่นกัน ด้วยฟังก์ชั่นในเครื่องหรือจากการดาวน์โหลด อาทิ แผนที่ จีพีเอสระบุตำแหน่ง ดูหนังฟังเพลง ตารางงาน หรือเรื่องเรียนที่มีสาระก็ย่อมทำได้

         อันที่จริงเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของเรายังมีสิ่งอื่นๆมากมายไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ (PC),โน้ตบุ๊ค, แท็บเล็ต, ปริ้นเตอร์ เป็นต้น




 เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ความสะดวกสะบายจริงมั้ยคะ และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดเวลามากขึ้น ใช้งานได้กว้างขวางและครอบคลุม เป็นตัวกลางในการสื่อสาร เป็นสื่อที่คอยอัพเดตข่าวสารให้ทันสมัย แต่อย่าลืมนะคะว่าสิ่งใดที่ให้ประโยชน์ ก็ย่อให้โทษด้วยเช่นกัน ควรใช้วิจารณญาณให้มากนะคะแล้วอย่าใช้จนมากเกินไป ดึงสติกันหน่อยนะ :)


อ้างอิง : http://www.slideshare.net/ChaiwitKhempanya/ss-17095107