เพื่อนๆ คงเคยได้ยินคำว่า " Tea Time " ใช่ไหมคะ แล้วเคยสงสัยไหมคะว่าเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำอย่างไรบ้าง และมีขึ้นมาเพราะอะไร ต้องบอกก่อนเลยว่าบล็อกเกอร์ชอบเรื่องแบบนี้ที่สุดเลยค่ะ เลยอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน จะหรูเริ่ดอลังการแค่ไหนไปหาคำตอบกันได้เลยค่ะ
ก่อนอื่นขอเรียกน้ำย่อยกันสักนิดนะคะ
ถึงเวลามารู้จัก การจิบชา แบบผู้ดีอังกฤษ กันแล้วค่ะ!
anna 7th duchess of bedford |
ช่วงเวลาของการดื่มชาที่เกิดขึ้นในอังกฤษประมาณยุค 1840 เนื่องจากในสมัยก่อนเวลาอาหารของคนอังกฤษมี 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อค่ำ ซึ่งเสิร์ฟตอน 2-3 ทุ่ม ดัสเชสแอนนา ดัสเชสลำดับที่ 7 แห่งเบดฟอร์ด (Duchess of Bedford) จึงสั่งให้มีการตั้งโต๊ะชา ขนมปัง และเค้กเพื่อเสิร์ฟระหว่างวันเพื่อดับความหิว และดัสเชสก็เริ่มเชิญเพื่อนๆ มาดื่มชาและทานขนมกับเธอจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆ มา โดยชาของอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ Afternoon Tea และ High Tea
Afternoon Tea vs. High Tea
Afternoon Tea หรือ Low Tea คือช่วงเวลาดื่มชายามบ่าย มักเริ่มทานตั้งแต่ 4 - 6 โมงเย็น เป็นมื้อของว่างระหว่างมื้อเช้าและมื้อค่ำของชาวอังกฤษที่มักทานกันตอนดึก จัดวางบนโต๊ะทรงเตี้ย ถือเป็นเป็นกิจกรรมของหญิงชนชั้นสูง และมีการจัดวางอาหารว่าง ขนมหวานทานคู่กับชาอีกด้วย
ส่วน High Tea คือ ชาที่เสิร์ฟในมื้อเย็นของชนชั้นแรงงาน ทานตอน 5โมงเย็น - 1 ทุ่ม ซึ่งจะถูกจัดวางบนโต๊ะอาหารทรงสูง จึงเป็นที่มาของคำว่า High ใน High Tea นั่นเอง
ขนมหวานและของว่างของ High Tea
ประเภทของ Afternoon Tea มีอะไรบ้าง?
Light Tea : ทานชากับสโคน (ไม่ทานครีม) + ขนมชิ้นเล็กๆเช่น ลูกกวาดหรือคุกกี้
Cream Tea : ทานชากับสโคน + แยม + ครีม
Full Tea : ทานชา + สโคน + แซนวิช + ขนมหลากชนิด
High Tea หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Meat Tea หรือปัจจุบันเรียกว่า Time Tea ปกติจะหมายถึงชาที่เสิร์ฟพร้อมกับอาหารมื้อค่า เป็นอย่างไรกันบ้าง
เต็มอิ่มกับเรื่องชาๆ กันไปแล้ว คาดว่าเพื่อนๆ คงหิวไปตามๆ กันเลยใช่ไหมคะ บล็อกเกอร์ก็อยากแนะนำว่าถ้ามีโอกาสก็ลองหาร้านสำหรับจิบชายามบ่ายสไตล์อังกฤษดูนะคะ แต่ควรทานพอประมาณ และอย่าลืมออกกำลังกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากบล็อกเกอร์ แล้วเจอกันใหม่บล็อกหน้านะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
อ้างอิง : https://www.wongnai.com/food-tips/afternoon-tea-high-tea
http://kasetmodern.com/2015/01/26/afternoon-tea/
http://cooking.kapook.com/view76537.html
No comments:
Post a Comment